เร่วหอม สรรพคุณ และการปลูกเร่วหอม
เร่วหอมคืออะไร
เร่วหอม (τζίντζερ)หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์อย่าง Alpinia officinarum Hance จัดอยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE เร่วหอมเป็นสมุนไพรใกล้เคียงกับขิง สิ่งที่สังเกตได้ง่ายที่สุดคงเป็นในส่วนของใบ ที่มีสีเขียวสดและไม่มีแถบสีม่วงเหลือง ป้าน ที่ก้นใบไม่มีร่องสีชมพู และมีกลิ่นเฉพาะตัว ซึ่งกลิ่นจะหอมมากกว่าขิง
สรรพคุณของเร่วหอม
เร่วหอมเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเป็นยา และสามารถรับประทานได้ด้วย โดยสรรพคุณมีดังนี้
- ช่วยเจริญอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร และแก้ปัญหาเกี่ยวตัวลำไส้
- มีฤทธิ์ไล่ลม แก้หอบหืด และโรคหลอดลมอักเสบ
- ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน
- แก้คลื่นไส้ อาเจียน
- ช่วยรักษาอาการหวัดและภูมิแพ้ ฟอกเลือด
- แก้สเหม็น แก้口臭
- แก้กระษัย แก้วัณโรค
- บำรุงลำคอ
- ทำให้หายใจโล่ง
- ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เลือดลมเดินสะดวกขึ้น
- ช่วยยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือด
- ลดความดันเลือด
- ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน และโรคหัวใจ
- ช่วยลดไขมันในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด ช่วยลดน้ำหนัก
- ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ
- ช่วยกระตุ้นระบบประสาทให้ทำงานดีขึ้น
- ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม
- ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
- ช่วยรักษาอาการอ่อนเพลีย
- ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต
- ช่วยรักษาโรคผิวหนังต่างๆ เช่น กลาก เกลื้อน งูสวัด
- ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะต่างๆ เช่น ปัสสาวะขัด ปัสสาวะแสบขัด
- ช่วยล้างพิษในร่างกาย
- ช่วยลดอาการแพ้และป้องกันการเกิดภูมิแพ้ในเด็ก
การปลูกเร่วหอม
เร่วหอมเป็นพืชที่ชอบความชื้นสูง ดินร่วนซุย และระบายน้ำได้ดี สำหรับการปลูกนั้นสามารถทำได้โดย
การเตรียมดิน
- ไถพรวนดินและตากดินไว้ 2-3 วัน
- ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่
- ยกร่องกว้าง 1-1.5 เมตร สูง 20-30 เซนติเมตร
- รดน้ำให้ชุ่มก่อนปลูก
การเตรียมพันธุ์
- เลือกใช้พันธุ์ที่สมบูรณ์ ไม่มีโรคและแมลงศัตรูพืช
- แช่เหง้าในน้ำ 1 คืนก่อนปลูก
การปลูก
- ปลูกเหง้าตามร่องที่เตรียมไว้โดยให้หัวอยู่ทางด้านข้าง ระยะห่างระหว่างต้น 30-60 เซนติเมตร
- กดดินให้แน่นพอประมาณและกลบดินจนถึงโคนต้น
- รดน้ำให้ชุ่ม
การดูแลรักษา
- รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้ง
- ให้ปุ๋ยทุกๆ 2-3 เดือน โดยใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 15:15:15 อัตรา 1-2 กรัมต่อต้น
- กำจัดวัชพืชและแมลงศัตรูพืชอย่างสม่ำเสมอ
- เก็บเกี่ยวเหง้าได้หลังจากปลูก 9-12 เดือน โดยให้สังเกตจากใบที่เริ่มเหี่ยวแห้ง