1. ใช้กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid)

กรดซาลิไซลิกเป็นเบต้าไฮดรอกซีแอซิด (BHA) ซึ่งสามารถละลายได้ในน้ำมัน จึงสามารถซึมลึกเข้าไปในรูขุมขนและละลายสิ่งสกปรกและน้ำมันที่อุดตันอยู่ภายในได้ นอกจากนี้ กรดซาลิไซลิกยังมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย

  1. ใช้เรตินอยด์ (Retinoid)

เรตินอยด์เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ซึ่งมีคุณสมบัติในการเร่งการผลัดเซลล์ผิวหนังและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้นและลดเลือนริ้วรอยได้ นอกจากนี้ เรตินอยด์ยังมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย

  1. ใช้ไกลโคลิกแอซิด (Glycolic Acid)

ไกลโคลิกแอซิดเป็นอัลฟ่าไฮดรอกซีแอซิด (AHA) ซึ่งมีคุณสมบัติในการละลายสารสกปรกและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วบนชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้นและกระจ่างใสยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ไกลโคลิกแอซิดยังมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหนังดูอ่อนเยาว์ลง

  1. ใช้เลเซอร์

การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม โดยเลเซอร์จะปล่อยพลังงานออกมาเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้นและลดเลือนหลุมสิวได้ อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยเลเซอร์อาจมีราคาค่อนข้างสูง

  1. ใช้ไมโครนีดลลิ่ง (Microneedling)

ไมโครนีดลลิ่งเป็นวิธีการรักษาหลุมสิวโดยใช้เข็มขนาดเล็กจำนวนมากแทงลงไปบนผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้นและลดเลือนหลุมสิวได้ วิธีการนี้มีราคาไม่แพงและสามารถทำได้ที่บ้าน

  1. ใช้ฟิลเลอร์ (Filler)

การรักษาหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์เป็นวิธีการที่รวดเร็วและเห็นผลได้ทันที โดยแพทย์จะฉีดสารฟิลเลอร์เข้าไปในหลุมสิวเพื่อเติมเต็มบริเวณที่เป็นหลุมสิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น อย่างไรก็ตาม สารฟิลเลอร์มีราคาค่อนข้างแพงและต้องฉีดซ้ำทุกๆ 6-12 เดือนเพื่อคงสภาพ

  1. ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ

มีสารสกัดจากธรรมชาติบางชนิดที่มีคุณสมบัติในการรักษาหลุมสิวได้ เช่น น้ำผึ้ง ว่านหางจระเข้ และชาเขียว โดยสารสกัดเหล่านี้สามารถช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน في جلد ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้น.