การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นวิธีการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดเข้าไปนั้นมีส่วนประกอบหลักเป็นสารไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่พบได้โดยธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ จึงมีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือการระคายเคือง และสามารถสลายตัวไปได้เองตามธรรมชาติในระยะเวลาประมาณ 6-12 เดือน
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- แพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจสภาพช่องปากของผู้รับบริการ เพื่อประเมินความเหมาะสมในการฉีดฟิลเลอร์
- ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณริมฝีปาก
- ทายาชาเฉพาะที่บริเวณริมฝีปาก เพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวดในขณะฉีด
- แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการ โดยทั่วไปจะใช้เวลาในการฉีดประมาณ 15-30 นาที
- หลังจากฉีดเสร็จแล้ว แพทย์จะนวดบริเวณริมฝีปากเบาๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดีขึ้น
อาการข้างเคียงหลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก ผู้รับบริการอาจมีอาการข้างเคียงต่างๆ ดังนี้
- บวมและช้ำบริเวณริมฝีปาก ซึ่งจะค่อยๆ ยุบลงภายใน 2-3 วัน
- รู้สึกเจ็บหรือตึงบริเวณริมฝีปาก ซึ่งจะค่อยๆ หายไปภายใน 1-2 วัน
- มีจ้ำเลือดเล็กๆ บริเวณริมฝีปาก ซึ่งจะจางหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์
- ริมฝีปากอาจดูผิดรูปหรือไม่สมมาตรในช่วงแรก ซึ่งจะค่อยๆ เข้าที่ภายใน 1-2 สัปดาห์
การดูแลตัวเองหลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก
- หลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกหรือเครื่องสำอางอื่นๆ บนริมฝีปากในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มร้อนจัดหรือเย็นจัดในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ หลายๆ ครั้งต่อวัน เพื่อช่วยลดอาการบวมและช้ำ
- ประคบเย็นบริเวณริมฝีปากเป็นครั้งคราว เพื่อช่วยลดอาการบวมและช้ำ
- หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้าหรือการกดทับบริเวณริมฝีปากในช่วง 2-3 วันแรกหลังการฉีด