ชะอม สรรพคุณ และการปลูกชะอม

สรรพคุณของชะอม:

  • ช่วยบำรุงโลหิต: ชะอมมีส่วนช่วยในการบำรุงโลหิต โดยมีส่วนช่วยในการเพิ่มฮีโมโกลบินในเลือด ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการขนส่งออกซิเจนในเลือดไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย ช่วยป้องกันการเกิดภาวะโลหิตจาง

  • ช่วยบำรุงร่างกาย : ชะอมมีส่วนช่วยในการบำรุงร่างกาย โดยมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้นจากอาการเจ็บป่วยต่างๆ

  • มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ: ชะอมมีส่วนช่วยในการป้องกันอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง

  • มีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด : ชะอมมีส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยมีส่วนช่วยในการเพิ่มการผลิตอินซูลินในร่างกาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการขนส่งน้ำตาลจากเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆ

  • มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย: ชะอมมีส่วนช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น เชื้อแบคทีเรียอีโคไล(E.coli) เชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา(Salmonella) เป็นต้น

  • มีฤทธิ์ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร: ชะอมมีส่วนช่วยในการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร โดยมีส่วนช่วยในการลดการอักเสบของแผลในกระเพาะอาหาร และช่วยเร่งการสมานแผลได้เร็วขึ้น

การปลูกชะอม:

  • การเตรียมดิน: ดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกชะอมควรเป็นดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำที่ดี และมีค่า pH ของดินอยู่ระหว่าง 6-7

  • การปลูก: สามารถปลูกชะอมได้ทั้งโดยการเพาะเมล็ดและการปักชำ การปลูกโดยการเพาะเมล็ดควรเพาะเมล็ดในถุงเพาะหรือกระถางก่อน จากนั้นเมื่อต้นกล้ามีอายุได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ จึงย้ายต้นกล้าไปปลูกลงในแปลงปลูก ส่วนการปลูกโดยการปักชำให้ตัดกิ่งชะอมที่มีความยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร จากนั้นปักชำลงในแปลงปลูก โดยให้ส่วนโคนกิ่งชะอมอยู่ใต้ดินประมาณ 5-10 เซนติเมตร

  • การดูแลรักษา: ชะอมเป็นพืชที่ชอบแดดจัด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ดังนั้นควรรดน้ำให้ชะอมอย่างสม่ำเสมอแต่ไม่มากจนเกินไป และควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักให้ชะอมทุกๆ 2-3 เดือน เพื่อช่วยบำรุงให้ชะอมเจริญเติบโตได้ดี

  • การเก็บเกี่ยว: ชะอมสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีอายุประมาณ 3-4 เดือน โดยให้เด็ดใบอ่อนของชะอมไปใช้ในการปรุงอาหารต่างๆ