1. วิตามินบีรวม: เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีส่วนช่วยในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน ช่วยบำรุงระบบประสาท และช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ควรรับประทานวิตามินบีรวมประมาณ 1.2-1.3 มิลลิกรัมต่อวัน โดยสามารถพบได้ในเนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ นม ถั่ว และผักใบเขียว

  2. วิตามินซี: เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคหวัด และช่วยให้แผลหายเร็ว ควรรับประทานวิตามินซีประมาณ 65-90 มิลลิกรัมต่อวัน โดยสามารถพบได้ในผลไม้รสเปรี้ยว ผักใบเขียว และมันฝรั่ง

  3. วิตามินดี: เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อกระดูกและฟัน ควรรับประทานวิตามินดีประมาณ 15 ไมโครกรัมต่อวัน โดยสามารถพบได้ในปลาทะเล ไข่แดง และนม

  4. วิตามินอี: เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย และช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง ควรรับประทานวิตามินอีประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน โดยสามารถพบได้ในน้ำมันพืชต่างๆ ถั่ว และเมล็ดธัญพืช

  5. วิตามินเค: เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีส่วนช่วยในการแข็งตัวของเลือด และช่วยบำรุงกระดูก ควรรับประทานวิตามินเคประมาณ 90 ไมโครกรัมต่อวัน โดยสามารถพบได้ในผักใบเขียวต่างๆ และตับ

  6. โฟเลต: เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีบทบาทสำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ป้องกันภาวะโลหิตจาง และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ควรรับประทานโฟเลตประมาณ 400 ไมโครกรัมต่อวัน โดยสามารถพบได้ในผักใบเขียวต่างๆ ตับ และถั่วต่างๆ

  7. ธาตุเหล็ก: เป็นแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ป้องกันภาวะโลหิตจาง และช่วยนำพาออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ควรรับประทานธาตุเหล็กประมาณ 18 มิลลิกรัมต่อวัน (สำหรับผู้หญิง) และ 8 มิลลิกรัมต่อวัน (สำหรับผู้ชาย) โดยสามารถพบได้ในเนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่แดง และผักใบเขียว

  8. แคลเซียม: เป็นแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันภาวะกระดูกพรุน และช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจ ควรรับประทานแคลเซียมประมาณ 1,000-1,200 มิลลิกรัมต่อวัน โดยสามารถพบได้ในนม ไข่แดง และผักใบเขียว